รีวิวหนัง: ซัมเมอร์ สยองต้องหวีด (2025) – ฤดูร้อนที่ไม่ได้มีแค่แสงแดด แต่เต็มไปด้วยความตาย!

ฤดูร้อนที่ควรจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความทรงจำกลับกลายเป็นฝันร้ายในหนังเรื่อง “ซัมเมอร์ สยองต้องหวีด (2025)” ภาพยนตร์สยองขวัญ-เขย่าขวัญสัญชาติไทยที่กำลังเป็นกระแสอย่างร้อนแรงในช่วงกลางปี 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบดูหนังแนวเชือดเฉือน ลุ้นระทึก หรือแนว “ใครคือฆาตกร” แบบยุค 90s ที่ถูกนำกลับมาเล่าใหม่ด้วยกลิ่นอายทันสมัย

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรง “ณัฐพงศ์ สุภากร” ที่เคยฝากผลงานเขย่าขวัญระดับอินดี้มาก่อน และนี่คือโปรเจกต์ใหญ่เต็มตัวที่ได้ทุนสร้างระดับกลาง ผสานงานโปรดักชันจากสตูดิโอฝั่งญี่ปุ่นเพื่อยกระดับคุณภาพงานภาพและการตลาด

เรื่องย่อ (ไม่มีสปอยล์)

เรื่องราวเกิดขึ้นที่ ค่ายฤดูร้อนริมทะเลในจังหวัดตราด กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งถูกเชิญให้มาทำกิจกรรมอบรมภาวะผู้นำและการใช้ชีวิตร่วมกันในป่าเขาลำเนาไพร แต่เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ความเงียบสงบกลับถูกแทนที่ด้วยเหตุการณ์ประหลาดและการหายตัวของคนในกลุ่มทีละคน ท่ามกลางความมืดมิดและเสียงลึกลับยามค่ำคืน พวกเขาเริ่มสงสัยว่า…อาจมีบางสิ่งบางอย่างกำลังล่าอยู่ และไม่ใช่แค่ “ใครบางคน”…แต่มันอาจจะ “ไม่ใช่คนเลยก็ได้”

ข้อดีของหนัง: จุดที่โดดเด่น

1. บรรยากาศหลอนที่ทำได้ดี

หนึ่งในจุดแข็งของ ซัมเมอร์ สยองต้องหวีด คือ “บรรยากาศ” ที่ทีมงานถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่ภาพทิวทัศน์ของค่ายริมทะเลช่วงกลางวัน ที่ดูสดใสชวนฝัน ไปจนถึงความมืดสนิทที่คลี่คลายออกมาในช่วงกลางคืน ทุกองค์ประกอบของภาพ แสง สี เสียง ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อ “ขัง” ผู้ชมไว้ในความรู้สึกไม่ปลอดภัย

2. งานเสียงน่าขนลุก

เสียงกรีดร้อง เสียงฝีเท้า เสียงกระซิบ เสียงคลื่นกระทบฝั่งที่เงียบผิดปกติ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึก “ไม่สบายใจ” อย่างพอดี หนังไม่ได้ใช้ Jump Scare แบบพร่ำเพรื่อ แต่เลือกวางจังหวะเสียงให้น่ากลัวแบบ “หลอนจริง ไม่ต้องตกใจ” ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ผู้ชมหลายคนชื่นชอบมากขึ้นในยุคนี้

3. บทหนังที่วางปมไว้ชวนติดตาม

โครงเรื่องของหนังเต็มไปด้วยปริศนา ตั้งแต่ประวัติของค่ายพักแรมที่ดูเหมือนเคยเกิดเหตุการณ์ไม่ดีมาก่อน ไปจนถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของหัวหน้ากลุ่มผู้นำค่าย หนังค่อย ๆ เผยข้อมูลทีละนิด ทำให้คนดูเดาไม่ถูกว่าใครคือตัวร้าย หรือแม้แต่จะมีคนร้ายจริงไหม หรือเป็นสิ่งลี้ลับกันแน่

4. การแสดงของนักแสดงหน้าใหม่

แม้นักแสดงหลักหลายคนจะยังเป็นหน้าใหม่ในวงการ แต่ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์กลัว หวาดระแวง และแตกสลายทางจิตใจได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะตัวละคร “มีน” หญิงสาวที่เหมือนจะมีอดีตเกี่ยวข้องกับค่ายแห่งนี้ เธอกลายเป็นศูนย์กลางของอารมณ์ในหนัง และผู้ชมหลายคนต่างเห็นใจเธอในตอนท้าย

5. การเล่าเรื่องแบบแบ่งบท (Chapter)

หนังแบ่งเรื่องราวออกเป็น Chapter เช่น “วันแรก”, “คืนแรก”, “เสียงในป่า”, “ใครคือเหยื่อ” ฯลฯ ทำให้โครงสร้างการเล่ามีจังหวะ และทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้อ่านนิยายลึกลับแนวจิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง

ข้อด้อยของหนัง: จุดที่ยังพัฒนาได้

1. จังหวะต้นเรื่องยังไม่ดึงดูดพอ

ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังอาจทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกว่าเดินเรื่องช้าเกินไป เพราะต้องใช้เวลาปูตัวละครหลายคนและสร้างบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม หากอดทนผ่านช่วงนี้ไปได้ เรื่องราวจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

2. การเฉลยปมที่บางคนอาจรู้สึก “ง่ายไป”

แม้ว่าหนังจะปูปมไว้ลึก แต่การเฉลยบางจุดกลับทำให้ผู้ชมบางกลุ่มรู้สึกว่า “เบาไปนิด” หรือไม่สะเทือนใจเท่าที่ควร บางคนอาจคาดหวังความหักมุมที่แรงกว่านี้ หรือจบแบบหักล้างทุกอย่างที่เคยเชื่อมาก่อน ซึ่ง ซัมเมอร์ สยองต้องหวีด ยังไม่กล้าพอในจุดนี้

3. เอฟเฟกต์บางจุดยังดู “ติดละคร”

แม้จะพยายามใช้มุมกล้องและเสียงเป็นหลักในการสร้างความหลอน แต่ในบางฉากที่มี CG หรือ Special Effect เช่น ฉากเงาลึกลับในป่า หรือร่างประหลาดในความมืด ยังดูไม่สมจริงพอ และอาจทำให้หลุดจากอารมณ์หนังได้ชั่วครู่

สำหรับใครที่ควรดูหนังเรื่องนี้?

• คอหนังสยองขวัญไทยที่เบื่อแนวผีคลาสสิกและอยากลองอะไรใหม่

• คนที่ชอบหนังแนว “ใครคือฆาตกร” หรือหนังที่เต็มไปด้วยปริศนา

• แฟนหนังวัยรุ่นแนว “สยองขวัญฤดูร้อน” เช่น I Know What You Did Last Summer หรือ Scream

คะแนนจากรีวิว: ★★★★☆ (4/5)

“ซัมเมอร์ สยองต้องหวีด” เป็นหนังที่กล้าลอง กล้านำเสนอแนวใหม่ และมีบรรยากาศที่ทำให้ขนลุกได้จริง แม้จะมีจุดเล็ก ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่สำหรับคอหนังสยองขวัญโดยเฉพาะในไทย หนังเรื่องนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดของปี 2025

สรุปข้อดี-ข้อด้อย